พี่ชาย ญาติเหยื่อลุงปืนโหด ออกโหนกระแส เล่านาทีสลด ผู้ตาย ยกมือขอชีวิต แต่มือปืนไม่สน ขอเอาเรื่องถึงที่สุด จากกรณีข่วาสะเทือนขวัญลุงปืนโหด ก่อเหตุคว้าปืนลูกโม่ไล่ยิงจนมีคนเสียชีวิต ล่าสุด วันนี้ (14 ก.พ.65) สามีผู้เสียชีวิต พี่ชาย และคนที่เห็นเหตุการณ์ “ลุงปืนโหด” รัวยิง 6 นัด จนแม่เพื่อนหลานสาวเสียชีวิตคาที่ ก็มาให้สัมภาษณ์กับ โหนกระแส โดยมีพิธีกร หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย คอยไล่ถามปมของเรื่องราวทั้งหมด
สามีผู้เสียชีวิต เล่าว่า วันที่เกิดเหตุ ปัญหาเกิดตั้งแต่หลานคนยิงมาอาศัยอยู่ที่บ้าน
มาประจำเพราะมีปัญหากับที่บ้าน ออกมาเที่ยวไม่นานก็จะโดนลุงกับพี่สาวตี แต่พอดีกันก็จะกลับ แต่รอบที่เกิดเรื่องมาอยู่นานเกือบอาทิตย์ หลานของลุงยืนยันว่ารอบนี้กลับไม่ได้ แต่ฝั่งพี่สาวของหลานลุงก็ทักมาในเฟซบุ๊ก “ทำไมไม่เอาน้องมาคืน” วันเกิดเหตุเลยพากันไปคืนไปกันทั้งหมด 5 คน และย้ำว่าอย่าทำหลาน แต่ฝั่งมือปืนไม่ฟัง มีการตีหลานตัวเองต่อหน้า ถึงตรงนี้ กรรชัย พิธีกรถามกับแขกรับเชิญซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ก็ยืนยันว่ามีการตบตีจริง
ด้าน พี่ชายของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรโกรธแค้นกันมาก่อนหรือไม่ถึงกล้ารัวยิงผู้หญิงถึง 6 นัด ชนวนเหตุเพราะหลานสาวของคนก่อเหตุไม่ยอมกลับบ้านซึ่งอ้างว่าผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย
“เขาไม่เป็นผู้ชายพอ ยิงผู้หญิงขนาดนั้น ผู้หญิงล้มไม่ควรซ้ำแล้ว คุณไม่ใช่ลูกผู้ชาย ยิงที่หัวกะเอาตายแล้วมาให้การว่าจะไปหาหมอเพราะโดนแทง นี่คือมุมคนจะไปหาหมอเหรอ นี่คุณเตรียมมาแล้วแหละแต่เตรียมมากี่นัดเท่านั้นเอง บอกจะไปหาหมอ คำพูดของคนไม่เสียชีวิต แต่คนเสียชีวิตพูดไม่ได้” พี่ชายผู้เสียชีวิต ระบุ
นอกจากนี้พี่ชายยังเผยอีกว่า จะขอให้ตำรวจดำเนินคดีถึงที่สุด หวั่นคนก่อเหตุเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า มือปืนโดนมีดแทงนั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งนับถือผู้ตายเหมือนแม่ กล่าวเพิ่มเติมทิ้งท้ายว่า “เขาผลักพี่ชายผมออก รับกระสุนแทน เขาถูกยิง 2 นัด (คนก่อเหตุ) เดินมาซ้ำแม่ แม่ยกมือขอชีวิต เขาไม่ฟัง แล้วยิงซ้ำอีก 4 นัด ยิง 6 นัด โดนแม่ 5 นัด ไม่เห็นคนก่อเหตุโดนแทงตามที่เขาอ้าง”
ทั้งนี้ในส่วนของคดี เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา นายเสมา ขจรพันธ์ อายุ 50 ปี ผู้ต้องหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาวุธปืน
สามีภรรยา ร้องกองปราบ ถูก ตำรวจยัดยา ถุงคลุมหัว ทำติดคุก 14 ปี
สองสามีภรรยาเดินหน้าร้องกองปราบ ถูก ตำรวจยัดยา ทำร้ายร่างกาย ถุงคลุมหัว ทำติดคุก 14 ปี พ.ต.ท โต้ไร้สาระ ยืนยันทำทุกอย่างถูกต้อง
นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วย นายกล้วย และนางมน พันธแสน อายุ 48 ปี 2 สามีภรรยา พร้อมลูกสาวอีก 2 คน เข้าพบ พ.ต.ต.นันพิพัฒน์ ผังคี สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งเอาผิด พ.ต.ท. ผกก.(สอบสวน) สภ.แห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี พร้อมพวกประมาณ 12 นาย ในข้อหา “ร่วมกันพยายามฆ่าและร่วมกันปล้นทรัพย์ร่วมกันพรากผู้เยาว์” ที่ร่วมกันจับกุมรุมซ้อมจนบาดเจ็บสาหัส ถูกจับไปกักขังหน่วงเหนี่ยวเพื่อข่มขู่รีดข้อมูล
โดย นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ก.ค.2550 ขณะนั้นนายกล้วย มีอาชีพขายหมู กำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักในหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี มีนายตำรวจยศ พ.ต.ท. พร้อมพวก ปฏิบัติหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติด บุกเข้ามาค้นหายาเสพติดแต่ไม่พบ จึงนำตัวคนในบ้านทั้งหมดไปที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเพื่อซักถาม
ก่อนแยกตัวนายกล้วยและนางมนไปสอบปากคำที่เซฟเฮาส์ ระหว่างนั้นใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ใช้ไฟฟ้าชอร์ต นำถุงพลาสติกครอบหัว เพื่อให้รับสารภาพหรือบอกที่ซ่อนยาเสพติด แต่ผู้เสียหายไม่รู้เรื่อง จึงไม่ยอมรับสารภาพ กระทั่งเจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งโทรมาแจ้งว่าพบยาบ้าเกือบ 4 พันเม็ดนอกรั้วบ้านนายกล้วย จึงนำตัวนายกล้วยและภรรยากลับมาที่เกิดเหตุ แล้วให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา ควบคุมตัวดำเนินคดี
จากการตรวจสอบพบว่า คดีนี้มีข้อพิรุธหลายอย่าง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ไม่มีหมายค้นและหมายจับ และคำให้การของนายเอ (นามสมมติ) ชาวสปป.ลาว ผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง ซึ่งตอนแรกให้การซัดทอดนายกล้วย
ต่อมากลับยอมรับว่า ยาบ้าทั้งหมดเป็นของตน นอกจากนี้ คดียังฟ้องซ้ำในชั้นอัยการ ทั้งที่ไม่ได้สอบปากคำเพิ่ม ทราบด้วยว่า เจ้าหน้าที่ชุดนี้ก่อเหตุลักษณะเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยถูกฟ้องแต่อย่างใด
ด้าน นายกล้วย กล่าวว่า ตนไม่เคยรับสารภาพและต่อสู้คดีมาถึง 3 ศาล ก่อนถูกตัดสินติดคุกอยู่นานถึง 14 ปี กระทั่งได้พระราชทานอภัยโทษออกมา จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานรัฐ ทั้งกระทรวงยุติธรรม และผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ จึงเดินทางมาเข้าแจ้งความกองปราบปรามเพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องคดีด้วย
เบื้องต้น พนักงานสอบสวน สอบปากคำผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาสั่งการต่อไป พ.ต.ท. คู่กรณี กล่าวสั้นๆ เพียงว่า ตนขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกร้องเรียน ยืนยันว่าปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง เรื่องที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความนั้นก็ถือเป็นสิทธิ์ ก็จะขอสู้คดีต่อไป ขอยืนยันว่า ไม่มีการบังคับยัดยาเสพติด หรือทำร้ายร่างกายและรีดทรัพย์ ตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป